บทที่
7
เซอร์ทริสแทรม
วันหนึ่งกษัตริย์แห่งไลโอเนสได้เดินทางเข้าไปในป่าเพื่อที่จะล่าสัตว์
เขาเดินทางมาไกลและยาวนานกระทั่งหมดวันแล้วเขาก็ยังหาทางกลับไม่เจอ
ราชินีของเขายังคงรออยู่ปราสาท แต่เขายังกลับไปไม่ได้
‘ฝ่าบาท
ท่านอยู่ที่ไหนนะ?’ นางคิด
‘ท่านก็น่าจะรู้นี่ว่าข้ากำลังท้อง’
ด้วยเหตุนี้ราชินีจึงออกไปที่ป่า
ตามหากษัตริย์ นางเดินเข้าไปในป่าระยะทางไกลมากขึ้นเรื่อยๆ
และเริ่มที่จะรู้สึกเหนื่อยล้า พอถึงเวลาพลบค่ำ นางจึงตอนหลับใต้ต้นไม้
ที่แห่งนั้นเองที่นางให้กำเนิดบุตรชาย
‘ข้ากำลังจะตาย’ นางคิด
‘แล้วข้าก็ป่วยหนักมาก'
นางอุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมแขน
“โอ้ ลูกน้อยของข้า”
ราชินีโอดครวญ
“ข้าให้เจ้ามีนามว่าทริสแทรม ซึ่งหมายถึง ‘ความเศร้า’
แล้วข้าก็กำลังรู้สึกเช่นนั้น ข้ารู้ว่าข้ากำลังจะตายแล้ว แต่เจ้า
เด็กน้อยของข้า... เจ้าจะต้องเติบใหญ่เป็นอัศวินที่กล้าหาญ”
กษัตริย์พบเส้นทางกลับปราสาทแล้ว
แต่เขาพบว่าราชินีไม่ได้อยู่ที่นั่น เขาจึงส่งคนของเขาไปหาราชินีในป่า แล้วพวกเขาพบราชินีกับทารกอยู่ใต้ต้นไม้
จึงพานางกลับมาที่ปราสาท ราชินีบอกนามของลูกน้อยแก่กษัตริย์ก่อนที่นางจะสิ้นใจ
หลังจากนั้นกษัตริย์ก็ไม่กินหรือพูดคุยกับใครเลย
‘กษัตริย์ของเรากำลังจะตาย’
ผู้คนกำลังพูดถึงเรื่องนี้กันอยู่
‘และเด็กน้อยทริสแทรมนั่น
ก็จะเป็นกษัตริย์องค์ถัดไปของพวกเรา’
แต่หลังจากนั้น
แม้จะเนิ่นนานพอสมควรกษัตริย์ก็เริ่มกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติดังเดิม
เจ็ดปีถัดมากษัตริย์แห่งไลโอเนสได้แต่งงานใหม่อีกครั้ง
และราชินีคนใหม่ก็ได้ให้กำเนิดลูกชายหนึ่งคน นางรักลูกของนางมาก
และชิงชังทริสแทรมลูกชายของราชินีคนก่อนด้วยเช่นกัน
วันหนึ่งราชินีได้วางแผนที่จะกำจัดเขา
นางได้ใส่ยาพิษลงไปในแก้วน้ำของทริสแทรม
‘เขาจะต้องคิดว่ามันคือไวน์อย่างแน่นอน’
นางคิด
‘แต่พอมันดื่มไวน์นี้เข้าไปมันก็จะตายทันที’
แล้วนางก็หยิบแก้วน้ำนั้นขึ้นมาให้แก่ทริสแทรมบนโต๊ะ
‘ทุกอย่างพร้อมแล้ว’
นางคิด ‘ดี!’
แต่ว่าลูกชายของนางกลับเดินเข้ามาในห้องอาหารก่อนทริสแทรม
เขากระหายน้ำมากเขาจึงยกแก้วน้ำที่ใส่ยาพิษนั้นขึ้นมาดื่ม
แล้วร่างของเขานอนไปกับพื้นและสิ้นใจ
ราชินีพยายามที่ฆ่าทริสแทรมอีกเป็นครั้งที่สอง
และใส่ยาพิษลงไปในแก้วน้ำอีกครั้ง นางยกแก้วน้ำมาวางไว้บนโต๊ะให้แก่ทริสแทรมอีกครั้ง
แต่คราวนี้กษัตริย์ได้เดินเข้ามาในห้องแทน เขายกแก้วไวน์ขึ้นจะดื่ม แล้วราชินีร้องออกมา
“อย่าดื่มนะ!”
แล้วกษัตริย์ก็นึกถึงการตายของลูกชายคนที่สองของเขาได้ทันที
เพราะมันมียาพิษอยู่ในน้ำที่เขาดื่ม! แล้วกษัตริย์ก็เข้าใจถึงแผนการชั่วร้ายของราชินี
“เจ้าต้องการจะฆ่าทริสแทรม แต่ลูกชายของเจ้ากลับดื่มมันเข้าไปแทน! ดังนั้นเจ้าก็พยายามที่จะฆ่าทริสแทรมอีกครั้ง
แต่มันผิดแผนเพราะว่าข้าเกือบที่จะดื่มมันเข้าไป!” กษัตริย์โกรธมาก
“จุดกองไฟ! จับตัวราชินีและนำไปเผา!” เขาตะโกนบอกอัศวินในวัง
แต่เมื่อไฟจุดพร้อมแล้ว
ทริสแทรมก็ได้เดินมาหาพ่อของเขา แล้วคุกเข่าลง
“ท่านพ่อ อย่าทำแบบนี้เลย! นำราชินีของท่านกลับมา
รักนาง และนางก็จะรักท่านพ่อ แต่นางเกลียดชังแค่ข้า ดังนั้น เนรเทศข้าไปเสียเถิด แล้วพวกท่านก็จะกลับมามีความสุขด้วยกันอีกครั้ง"
ทริสแทรมจึงได้ไปอาศัยอยู่กับมาร์ค
พี่ชายของพ่อเขา มาร์คเป็นกษัตริย์แห่งคอร์นวอล เขารักทริสแทรม
และทริสแทรมก็รักลุงของเขา อยู่ที่นั่นเขามีความสุขมาก เมื่อครั้งที่เขาไปถึงนั้น ทริสแทรมเป็นเพียงเด็กตัวน้อย หลายปีถัดมานั้น
เขาได้เติบโตขึ้นกลายเป็นคนหนุ่มที่แข็งแรงและกล้าหาญ
กษัตริย์แห่งไอร์แลนด์ก็มีบุตรชายเช่นกัน
เขามีนามว่า เซอร์มาร์ฮัส ไม่มีใครต่อสู้กับเขาแล้วสามารถเอาชนะได้เลย จนวันหนึ่งเซอร์มาร์ฮัสเดินทางข้ามทะเลมาที่ปราสาทของกษัตริย์มาร์ค
“ข้าเป็นอัศวินที่ยอดเยี่ยมและแข็งแกร่งที่สุดในไอร์แลนด์! ส่งอัศวินของท่านมาสู้กันข้าเถิด แล้วข้าจะทำให้ท่านได้เห็น!”
ไม่มีอัศวินคนใดของกษัตริย์มาร์คอยากจะมาสู้กับเซอร์มาร์ฮัสแม้แต่คนเดียว
แต่มีเพียงหนึ่งคนซึ่งก็คือ ทริสแทรมได้เดินมาหาลุงของเขา
“ตอนนี้ข้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว มอบตำแหน่งอัศวินให้ข้าแล้วส่งข้าไปเสีย
ข้าสามารถเอาชนะเซอร์มาฮัสได้แน่”
กษัตริย์มาร์คครุ่นคิดอยู่นาน
“แม้ข้าจะไม่อยากส่งเจ้าไป
แต่ในเมื่อไม่มีอัศวินคนใดของข้าจะไปสู้กับเขาสักคนเดียว ข้าคงต้องให้เจ้าไป”
เขาพูด
เมื่อเป็นดังนั้น กษัตริย์จึงได้มอบตำแหน่งอัศวินให้แก่ทริสแทรมเพื่อที่จะไปต่อสู้
ผู้คนมากมายได้มาเข้าร่วมเพื่อชมการต่อสู้ของอัศวินทั้งสอง
พวกเขาต่อสู้ด้วยดาบตลอดทั้งวัน
เซอร์มาร์ฮัสแข็งแกร่งมากแต่เขามีอายุมากกว่าเซอร์ทริสแทรม
การเคลื่อนไหวของเขาจึงช้ากว่า
เขาไม่สามารถที่จะโจมตีใส่ทริสแทรมได้เลย
ดวงอาทิตย์ยังคงสาดแสงและความร้อนซึ่งก็ทำให้เซอร์มาร์ฮัสเริ่มที่จะรู้สึกอ่อนล้าเต็มที
ในที่สุดคมดาบของทริสแทรมก็ได้ตัดผ่านหมวกเหล็กของเซอร์มาร์ฮัสจนทำให้เขาตายในทันที
คนของเขาจึงนำร่างไร้วิญญาณนั้นขึ้นเรือกลับไป
กระนั้นบาดแผลของทริสแทรมที่ได้รับจากการต่อสู้กับเซอร์มาร์ฮัสก็สาหัส
จนทำให้เขาต้องล้มป่วย เพราะว่าบาดแผลนั้นติดพิษ
ไม่ว่าจะหาคนมารักษามากมายเท่าใดก็ไม่สามารถทำให้อาการของเขาดีขึ้นได้เลย
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีหญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามาดูอาการให้แก่เขา
“อ้อ! พิษในบาดแผลนี้มาจากไอร์แลนด์
พาอัศวินของท่านไปที่นั่นเถิด แล้วท่านจะพบคนที่สามารถรักษาได้”
ด้วยเหตุนี้กษัตริย์มาร์คจึงได้สั่งคนของเขาเดินเรือไปส่งทริสแทรมที่ไอร์แลนด์
ซึ่งการไปครั้งนี้ เซอร์ทริสแทรมได้ใช้นามอื่นแทน
เพราะเขาได้ฆ่าลูกชายของกษัตริย์ไอร์แลนด์ไปนั่นเอง
เซอร์ทริสแทรมมองออกไปยังน้ำทะเลสีเขียว
ฝูงนกที่บินอยู่บนท้องฟ้า เขาหยิบพิณของเขาขึ้นมาและเริ่มที่จะเล่นเพลง
เพลงที่เขาเล่นนั้น ไพเราะอย่างมาก เมื่อเรือของเขาเทียบท่าใกล้กับไอร์แลนด์แล้ว
กษัตริย์ก็ได้ยินเสียงเพลงที่เขาเล่นอยู่ กษัตริย์จึงได้เชิญให้ทริสแทรมมาพบเขาที่ปราสาท
เพราะต้องการให้ทริสแทรมมาสอนพิณแก่บุตรสาวของเขา
“เจ้าได้บาดแผลเหล่านี้มาได้อย่างไรหรือ?”
กษัตริย์แห่งไอร์แลนด์ถาม
“ข้าถูกทำร้ายระหว่างเดินทางน่ะ ฝ่าบาท” ทริสแทรมพูด
เขาไม่สามารถบอกกษัตริย์เรื่องการต่อสู้ระหว่างเขากับเซอร์มาร์ฮัสได้
“ข้าจะไปบอกให้ไอโซลท์ บุตรสาวข้ามาดูแลแผลให้เจ้า แล้วท่านจะช่วยสอนนางเล่นพิณได้หรือไม่?”
“ได้เลย ฝ่าบาท” ทริสแทรมตอบ
กษัตริย์ได้บอกเรื่องนี้แก่บุตรสาวของเขา
“ข้าจะตั้งใจเรียน ท่านพ่อ”
ไอโซลท์พูด
นางดูแลและคอยรักษาบาดแผลให้แก่ทริสแทรมตลอดทั้งวันทั้งคืน
ไม่นานเขาก็อาการดีขึ้นและได้สอนพิณให้แก่นางด้วย
ไอโซลท์รู้สึกสนุกในการเรียนพิณมาก ซึ่งก็นางก็เล่นได้ดีเช่นกัน
ทั้งคู่มีความสุขมาก ทริสแทรมเริ่มชอบไอโซลท์มากขึ้น และนางก็ชอบเขาเช่นกัน
ไอโซลท์รู้จักกับอัศวินอีกคนหนึ่ง
เขามีนามว่าเซอร์พาลาไมด์ส เขารักไอโซลท์และปรารนาที่จะแต่งงานกับนาง เขาขอนางแต่งงานหลายครั้ง
ทั้งที่นางไม่ชอบเขาเลย แต่เขาก็ไม่เคยฟัง
วันหนึ่งเกิดการสู้กับระหว่างเหล่ามหาบุรุษกับอัศวินในอาณาจักร
ประชาชนมากมายหลั่งไหลไปดูการต่อสู้ครั้งนี้
เหล่าอัศวินมากมายขี่ม้าและมีดาบเป็นอาวุธคู่กาย
เซอร์พาลาไมด์สก็ต้องการที่จะเข้าร่วมการต่อสู้
เขาสวมหมวกเหล็กและเสื้อโค๊ตสีดำอยู่บนหลังม้าสีดำ
ในขณะที่ทริสแทรมสวมหมวกเหล็กและเสื้อโค๊ตสีขาว ม้าที่เขาขี่ก็เช่นกัน
อัศวินทั้งสองได้เริ่มต่อสู่กัน เซอร์ทริสแทรมเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและฟันไปที่เซอร์พาลาไมด์สด้วยดาบของเขา
อัศวินชุดดำล่วงจากหลังม้า
จากนั้นทริสแทรมก็ไปหยุดยืนต่อหน้าและยื่นปลายดาบไปที่เขา
“ไปจากที่นี่เสีย!
อย่าริอาจเข้าไปคุยกับไอโซลท์อีก ไม่งั้นก็เตรียมตัวตายเสีย!”เขาบอกด้วยเสียงอันดัง
หลังจากการต่อสู้
เซอร์ทริสแทรมก็เดินทางกลับไปที่เมืองคอร์นวอล
เขาได้เล่าเกี่ยวกับไอโซลท์ให้ลุงของเขาฟัง
“เจ้าหญิงไอโซลท์นั้นสวยงามทั้งหน้าตาและจิตใจตามที่เจ้าว่ามาใช่หรือไม่?
ดังนั้น ข้าจะแต่งงานกับเจ้าหญิงไอโซลท์
และจากนั้นข้าก็จะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งไอร์แลนด์ด้วย
แล้วเราก็จะเป็นพันธมิตรซึ่งกันและกัน มันจะต้องเป็นผลดีกับสองอาณาจักรแน่นอน”
กษัตริย์มาร์คพูด
“โปรดขอนางกับกษัตริย์ไอร์แลนด์เพื่อข้าเสีย”
ด้วยเหตุนี้
ทริสแทรมจึงเดินทางไปที่ไอร์แลนด์อีกครั้ง
“กษัตริย์มาร์คปรารถนาที่จะแต่งงานกับเจ้าหญิง พระองค์จะทรงอนุญาตให้ไอโซลท์บุตรสาวแต่งงานกับกษัตริย์มาร์คหรือไม่?
กษัตริย์มาร์คกษัตริย์ที่ดี และจะต้องรักนางมากอย่างแน่นอน” ทริสแทรมบอกแก่กษัตริย์ไอร์แลนด์
“นั่นสินะ
มันจะต้องดีต่อทั้งอาณาจักรของข้าและคอร์นวอลด้วยแน่นอน”
กษัตริย์แห่งไอร์แลนด์ตอบ แล้วเขาก็ส่งเจ้าหญิงไปให้แก่กษัตริย์มาร์ค
ทริสแทรมพาเจ้าหญิงไอโซลท์ขึ้นเรือไปกับเขา
แล้วก็ใช้พิณเล่นเพลงที่แสนไพเราะให้นางฟัง ทั้งคู่รักกัน
“ข้าไม่สามารถแต่งงานกับท่านได้เจ้าหญิง
เพราะว่าท่านกำลังจะแต่งงานกับกษัตริย์มาร์ค
แต่พระองค์นั้นก็เป็นคนดีและจะต้องรักท่านมาก” ทริสแทรมพูด
หลังจากเดินทางหลายวันในทะเล
ในที่สุดเรือก็มาถึงเมืองคอร์นวอล
“ข้าต้องไปจากท่านแล้ว
เจ้าหญิงไอโซลท์ที่รัก” ทริสแทรมพูดอย่างเศร้า ๆ
“ข้าจะเดินทางไปที่เมืองคาเมล็อต ข้าอยากจะเป็นอัศวินโต๊ะกลม
และในภายภาคหน้าข้าก็จะต่อสู้เพื่อกษัตริย์อาเธอร์ แต่ได้โปรดจำที่ข้าจะบอกเจ้า...
เรายังคงเป็นมิตรต่อกัน และข้ายังรักท่านเสมอ
หากท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้า ข้าจะอยู่ ณ ที่แห่งนั้นเพื่อท่านแน่นอน”
ไอโซลท์ได้แต่งงานกับกษัตริย์มาร์ค
และเขาก็ดูแลนางอย่างดี ทั้งยังให้สิ่งของสวยงามมากมายแก่นาง แต่วันหนึ่งเซอร์พาลาไมด์สได้ขี่ม้าเข้ามาลักพาตัวไอโซลท์ไปจากปราสาท
อัศวินมากมายของกษัตริย์ไล่ตาม
เซอร์พาลาไมด์สหันมาต่อสู้กับพวกเขา ไอโซลท์จึงหาโอกาสหนีไปจากเขาได้
นางวิ่งและวิ่งต่อไปเรื่อยๆ ลึกเข้าไปในป่า
‘ใกล้มืดเสียแล้ว’
ไอโซลท์คิด
‘ข้าอยู่ป่าที่มืดมิดเช่นนี้คงไม่มีใครหาข้าเจอ’
นางนั่งลงและเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น
แล้วนางก็เหลือบไปเห็นทะเลสาปแห่งหนึ่ง
‘ข้าจะฆ่าตัวตายที่ทะเลสาปแห่งนี้! แล้วเซอร์พาลาไมด์สผู้ชั่วร้ายจะไม่สามารถทำให้ข้าเจ็บปวดหรือลักพาตัวข้าไปไหนได้อีกแล้ว’
เจ้าหญิงเข้าไปยืนใกล้ริมทะเลสาป และมองลงไปยังน้ำที่ดูเย็นเยียบ
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้า
นั่นไม่ใช่เสียงฝีเท้าม้าของเซอร์พาลาไมด์ส แต่เป็นอัศวินคนอื่น
“เจ้าเป็นใคร?” ไอโซลท์ถามด้วยความกลัว
“ข้าคือเซอร์เอเธิร์บ”
อัศวินตอบ
“เหตุใดท่านจึงมาอยู่ในป่าตอนกลางคืนเช่นนี้ ราชินีไอโซลท์? อย่ากลัวข้าเลย ข้าไม่ทำร้ายท่าน
ข้าเพียงหวังว่าจะสามารถช่วยเหลืออะไรท่านได้บ้าง”
“ข้ากำลังหนีเซอร์พาลาไมด์ส
เขาต้องการจะลักพาตัวข้า! โอ ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”
“มันจะยิ่งอันตรายหากท่านยังอยู่ที่นี่”
เซอร์เอเธิร์บพูด
“ข้าจะพาท่านไปหลบที่ปราสาทของข้า”
หลังจากคืนนั้น
เซอร์พาลาไมด์สก็เดินทางมาที่ปราสาทของเซอร์เอเธิร์บ
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”
เขาตะโกน แต่ไม่มีคนจากในปราสาทตอบเขาเลย
ขณะนั้นเซอร์ทริสแทรมกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางที่คาเมล็อตก็มีชายคนหนึ่งวิ่งมา
“เซอร์พาลาไมด์สลักพาราชินีไอโซลท์ไป”
เขาพูด
ทริสแทรมโกรธมาก
เขาเดินทางกลับไปคอร์นวอลทันทีและมองหาไอโซลท์
เขาเห็นอัศวินที่บาดเจ็บคนหนึ่งนอนอยู่ในป่า
“ข้าบาดเจ็บขณะต่อสู้กับเซอร์พาลาไมด์ส”
เขาพูด ทริสแทรมจึงไปหาน้ำมาให้อัศวินผู้กล้าหาญคนนั้นดื่ม
“ราชินีไอโซลท์ไปทางไหน?”
เซอร์ทริสแทรมถามอัศวิน
“ข้าไม่รู้” อัศวินตอบ “พระองค์วิ่งหนีไปตอนที่มีการต่อสู้”
“ข้าจะต้องตามหานาง”
เซอร์ทริสแทรมพูด และกระโดดขึ้นขี่หลังม้า
เขาเดินทางไปจนถึงทะเลสาปและเห็นรอยเท้าบนพื้น
‘ไอโซลท์เคยอยู่ที่นี่’
เขาคิด ‘กับอีกคนที่ขี่ม้า ข้าจะตามหาพวกเขา!’
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ไปถึงปราสาทแห่งหนึ่ง
เขาพบเซอร์พาลาไมด์สอยู่ที่นอกปราสาท
เมื่อเซอร์พาลาไมด์สเจอเซอร์ทริสแทรมจึงได้เกิดการต่อสู้ขึ้น
แต่เซอร์ทริสแทรมนั้นแข็งแกร่งกว่า เขาจับพาลาไมด์สทุ่มลงจากหลังม้าจนอัศวินชั่วร้ายนั้นลงไปกองกับพื้น
เซอร์พาลาไมด์สลุกขึ้นยืนและดึงดาบออกจากฝักดาบอย่างรวดเร็ว
ทริสแทรมลงจากม้าของเขาและชักดาบออกมาเช่นกัน
อัศวินทั้งสองได้ต่อสู้กันอยู่ที่หน้าปราสาทที่ราชินีไอโซลท์อยู่ข้างใน
นางได้ยินเสียงคนต่อสู้กันจึงยื่นหน้าออกมาดูทางหน้าต่าง
“ทริสแทรมอยู่ที่นี่!”
นางร้องขึ้น “เขามาช่วยข้าแล้ว”
แล้วนางก็ยืนดูการต่อสู้นั้น
พาลาไมด์สแพ้ในการต่อสู้อีกครั้ง ทริสแทรมยืนอยู่เหนือเขาพร้อมดาบในมือ
“ไม่” ไอโซลท์ตะโกะเสียงดัง
“อย่าฆ่าเขา!” คนของเซอร์เอเธิร์บเปิดประตูปราสาทให้นางที่กำลังวิ่งออกมา
“ได้โปรดอย่าฆ่าเขาเลย เซอร์ทริสแทรมผู้มีเมตตา เขาสู้ได้อย่างกล้าหาญแล้ว...
ส่งตัวเขาไปให้กษัตริย์อาเธอร์เถิด เพื่อที่เขาจะได้เรียนรู้คุณธรรมแห่งอัศวิน
แล้วให้เขาได้ต่อสู้เพื่อพระองค์ด้วย”
“ก็ได้ เพื่อท่าน”
ทริสแทรมตอบ
ด้วยเหตุนี้
เซอร์พาลาไมด์สจึงได้เดินไปเมืองคาเมล็อตและได้เรียนรู้ที่เป็นอัศวินที่ดีมีคุณธรรม
เซอร์ทริสแทรมพาไอโซลท์กลับไปหากษัตริย์มาร์ค
และเขาได้พักอยู่ในเมืองคอร์นวอลด้วย
แต่แล้วกษัตริย์ก็เริ่มที่จะกลัวทริสแทรมขึ้นมา
‘เซอร์ทริสแทรมนั้นยังหนุ่มและกล้าหาญอีกด้วย’
เขาคิด
‘เขาต่อสู้กับเซอร์พาลาไมด์สเพื่อราชินีไอโซลท์ แล้วบางทีนางอาจจะตกหลุมรักทริสแทรมแล้วไม่ได้รักข้าอีกแล้วก็ได้’
วันหนึ่งทริสแทรมได้ไปที่ชายหาดกับไอโซลท์
กษัตริย์มาร์คได้ตามทั้งสองคนไปที่นั้น และคอยจับตามองพวกเขา
ทริสแทรมเล่นพิณเป็นเพลงที่ไพเราะให้ไอโซลท์ฟัง นางฟังเพลงนั้นด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ทันใดนั้น กษัตริย์มาร์คก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมดาบ
“ทำไมเจ้าถึงเล่นเพลงรักให้กับราชินีของข้า?”
เขาตะโกนลั่น
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ทริสแทรมไม่มีดาบและไม่สามารถที่จะหยุดกษัตริย์มาร์คได้
กษัตริย์ได้เข้าฟันทริสแทรมจนทำให้เกิดแผลฉกรรจ์ดูน่ากลัว
แล้วร่างไร้วิญญาณของเขาก็ล้มลงแทบเท้าของไอโซลท์
หลังจากเหตุการณ์นั้น
วันเวลาก็ผ่านเลยไป ไอโซลท์ยังคงนั่งนิ่งและเหม่อมองออกไปที่ทะเล
นางไม่ยอมกินหรือดื่ม หรือแม้แต่พูดคุยกับใครอีกเลย นางร้องไห้อยู่ทุกเวลา
เพราะทริสแทรม คนรักของนางได้ตายจากไป แล้วนางก็ตรอมใจตายตามคนรักไปในที่สุด
เมื่อกษัตริย์อาเธอร์ได้รู้เรื่องราวของทริสแทรมกับไอโซลท์
เขาก็รู้สึกเสียใจมาก เพราะทริสแทรมนั้นเป็นหนึ่งในอัศวินกล้าหาญแห่งโต๊ะกลม
อาเธอร์จึงโกรธแค้นกษัตริย์มาร์คมาก ดังนั้นเขาจึงส่งอัศวินไปที่คอร์นวอล
แล้วให้อัศวินสังหารกษัตริย์มาร์คเสีย
บทที่
8
จอกศักดิ์สิทธิ์
กษัตริย์อาเธอร์และอัศวินโต๊ะกลมยังคงอาศัยอยู่ในเมืองคาเมล็อต
กระทั่งวันหนึ่งชายชราผมขาวสวมชุดขาวได้มาหากษัตริย์
“กษัตริย์ของข้า ข้าได้นำอัศวินหนุ่มมากับข้าด้วยคนหนึ่ง
เขาเป็นลูกชายของวีรบุรุษคนหนึ่ง แล้วเขาคนนี้ก็จะได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่”
แล้วกษัตริย์ก็หันไปมองเด็กหนุ่ม
เขาสวมใส่หมวกเหล็กและเสื้อโค๊ตสีแดง
และใบหน้างดงามมากจนดูไม่เหมาะกับชุดอัศวินที่เขาใส่ มีตำแหน่งหนึ่งบนโต๊ะกลมที่ว่างมาเป็นเวลานาน
ก่อนหน้านั้นหลายปีมาแล้ว เมอร์ลินได้เคยบอกกษัตริย์ไว้ว่า
‘มีเพียงอัศวินที่มีคุณธรรม
และอัศวินที่ยอดเยี่ยมที่สุดของกษัตริย์เท่านั้น ที่จะได้นั่งในตำแหน่งนั้น
เพราะมันเป็นที่สำหรับเขา แล้วเขาจะต้องปรากฎตัวในวันหนึ่งแน่นอน’
มันเป็นตำแหน่งเดียวที่ไร้ชื่อ
ชายชราคนนั้นจึงพาอัศวินหนุ่มไปนั่งที่ตำแหน่งนั้นของโต๊ะกลม แล้วมันก็เป็นครั้งแรกที่มีชื่อจารึกอยู่ที่ตำแหน่งนั้น
มันเขียนด้วยอักษรสีทองว่า เซอร์กาลาฮัด
“มานั่งตรงนี้สิ” ชายชราพูด
แล้วเขาเดินจากกษัตริย์กับอัศวินโต๊ะกลมไป แล้วก็ไม่มีใครเคยพบเห็นเขาอีกเลย
“อัศวินหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน? ทำไมเขาถึงได้นั่งตรงนั้น?
เหตุใดเขาถึงไม่เกรงกลัวเลย?” กษัตริย์ถาม
“มีใครในนี้รู้จักเขาหรือเปล่า?”
“ข้ารู้” เซอร์แลนเซล็อตพูด
“เมื่อตอนที่ข้ากำลังเดินทางอยู่นั้น
ข้าเห็นแม่ชีเดินออกมาจากบ้านหลังใหญ่นั่นกับพ่อหนุ่มนี่
แล้วนางก็พาเขามาหาข้าแล้วบอกว่า ‘ชื่อของเขาคือ กาลาฮัด
เขาจะต้องได้เป็นอัศวิน นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก’ แล้วนางก็พาเขากลับเข้าไปในบ้าน”
อัศวินคนอื่นๆ
ต่างมองไปที่กาลาฮัดสลับกับมองเซอร์แลนเซล็อต
แล้วสังเกตเห็นว่าใบหน้าของพวกเขานั้นคล้ายกันมาก
‘เซอร์แลนเซล็อตเคยแต่งงานเมื่อตอนที่ยังหนุ่มมาก’ อัศวินคนหนึ่งนึกขึ้นได้
‘อัศวินหนุ่มคนนี้คือบุตรชายของเซอร์แลนเซลอต’
เซอร์แลนเซล็อตยิ้มให้บุตรชายของเขาโดยไม่พูดอะไร
กษัตริย์อาเธอร์ได้มอบยศอัศวินให้แก่กาลาฮัดและพวกเขาทั้งหมดก็นั่งรวมกันที่โต๊ะกลม
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังสนั่น พร้อมแสงสีขาวสว่างจ้า พวกเขาจึงมองไปแล้วเห็นถ้วยสีทองวางอยู่บนโต๊ะของพวกเขา
สิ่งนี้คืออะไรกัน?
มันมาจากไหน? แล้วทันใดนั้นมันก็หายวับไปจากสายตาของเหล่าอัศวิน!
ทุกคนนิ่งเงียบกันไปพักหนึ่ง
แล้วเซอร์กาลาฮัดก็พูดขึ้นว่า
“นั่นเป็นจอกศักดิ์สิทธิ์...
มันอยู่ที่อาณาจักรแห่งนี้”
“ข้าจะออกตามหามัน
ข้าจะกลับมาเมื่อข้าได้มันมาแล้ว”
"พวกเราจะไปกับเจ้าด้วย"
เซอร์บอร์ส และเซอร์เพอร์ซีวาล พูดขึ้นพร้อมกัน
ทำให้กษัตริย์อาเธอร์โศกเศร้าอย่างมาก เขามองไปที่อัศวินทุกคนที่อยู่ที่นั่น
แล้วก็พูดกับพวกเขาว่า
“พวกเราอยู่กันอย่างพี่น้อง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว จุดจบของโต๊ะกลมของพวกเรามาถึงแล้ว
เพราะถ้าหากเจ้าออกตามหาสิ่งนั้น ข้าก็คงจะไม่ได้เจอพวกเจ้าอีกแล้ว”
แล้วอัศวินทั้งสี่คนก็ขี่ม้าออกจากเมืองคาเมล็อตไป
หลายปีผ่านไปพวกเขายังคงตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ไม่พบ อัศวินคนอื่นๆ
จึงออกตามหาจอกนั่นด้วย ไม่มีใครตามหามันพบและอัศวินบางคนที่ออกตามหานั้น
ก็ไม่มีใครกลับมาที่คาเมล็อตอีกเลย โต๊ะกลมไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้กษัตริย์อาเธอร์จึงเศร้าโศกเสียใจอย่างมาก
หลายปีถัดมาเซอร์กาลาฮัด
เซอร์เพอร์ซีวาล และเซอร์บอร์ส ก็เดินทางมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งใกล้ทะเล พวกเขามองออกไปก็เห็นเรือใหญ่ลำหนึ่ง
แม้จะเวลาพลบค่ำแล้ว ก็ยังเห็นแสงไฟสีขาวสว่างสาดส่องออกมาจากเรือลำนั้น
“ข้ารู้สึกว่าพวกเรากำลังจะหาจอกศักดิ์สิทธิ์พบเสียที” เซอร์กาลาฮัดพูด
แล้วพวกเขาก็เข้าไปในเรือลำนั้น
เมื่อเข้าไปในเรือพวกเขาก็พบโต๊ะที่มีจอกศักดิ์สิทธิ์วางอยู่ พวกเขาจึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
“ดูสิ!” เซอร์กาลาฮัดร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
“นี่คือจอกศักสิทธิ์[1]!
การเดินทางของพวกเราได้สิ้นสุดลงเสียที”
ด้วยความที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางที่ยาวนาน
พวกเขาจึงผลอยหลับไป เรือใหญ่ลองไปตามทะเลกว้าง เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่ออัศวินตื่นขึ้นมา
ก็พบว่าพวกเขานั้นอยู่ใกล้เมืองใหญ่เมืองหนึ่ง
“เราต้องเอาจอกศักดิ์สิทธิ์เข้าเมืองไปด้วย”
เซอร์กาลาฮัดพูด
พวกเขาจึงนำจอกศักดิ์สิทธิ์มาและออกจากเรือลำนั้น
เมื่อพวกเขาไปถึงเมืองก็ได้รู้ว่าเมืองแห่งนั้นไร้ซึ่งกษัตริย์ปกครอง
เนื่องจากกษัตริย์องค์ก่อนไม่มีทายาทสืบบัลลังก์
เหล่าขุนนางมากมายรวมตัวกันอยู่ที่ปราสาทและคิดที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอัศวินของกษัตริย์อาเธอร์ไปถึงปราสาทพร้อมด้วยจอกศักดิ์สิทธิ์
ก็ทำให้ผู้คนที่นั่นรู้สึกตื่นเต้นมากจากนั้นก็มีชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามาในปราสาท
เป็นชายชราที่มีผมและชุดสีขาว เหล่าอัศวินก็จำเขาได้ทันทีที่เห็นเขา
“อัศวินทั้งสามคนนี้ได้เดินทางมาเนิ่นนานกว่าจะมาถึงที่แห่งนี้”
ชายชราพูด
“แล้วพวกเขาก็มาที่นี่พร้อมกับจอกศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่เหมาะสมจะได้เป็นกษัตริย์ของเมืองนี้
ก็คือเด็กหนุ่มผู้กล้าหาญ อัศวินที่อายุน้อยที่สุดผู้นั้น”
แล้วชายชราก็เดินจากไป
แต่ทว่ากลับไม่มีใครเห็นเลยว่าเขาปรากฎตัวและออกจากปราสาทไปได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้
เซอร์กาลาฮัดจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของเมือง
“ในที่สุดข้าก็พบจอกศักดิ์สิทธิ์ แล้วตอนนี้ข้าก็รู้สึกมีความสุขมาก”
เซอร์กาลาฮัดพูด
เขาได้สร้างโบสถ์ที่สวยงามแห่งหนึ่ง
แล้วสถิตจอกศักดิ์สิทธิ์ไว้ในที่แห่งนั้น หลังจากนั้นชายชราก็ปรากฎตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง
“ภารกิจของเจ้าจบลงแล้ว
แล้วตอนนี้เจ้าก็กำลังจะตาย” เขาพูด
เซอร์กาลาฮัดกลับไม่รู้สึกกลัวเลย
ในเช้าวันถัดมาผู้คนในปราสาทก็พบเขานอนนิ่งสงบอยู่เบื้องหน้าจอกศักดิ์สิทธิ์ด้วยใบหน้าที่มีความสุข
เซอร์บอร์สได้เดินทางกลับไปเมืองคาเมล็อต
“พวกข้าพบจอกศักดิ์สิทธิ์แล้ว
และไม่มีความจำเป็นอื่นใดที่จะออกตามหามันอีกแล้วฝ่าบาท” เขาบอกกษัตริย์อาเธอร์
อัศวินมากมายที่เคยออกเดินทาง
ตอนนี้ได้กลับมาประจำตำแหน่งโต๊ะกลมอีกครั้ง
ทำให้กษัตริย์อาเธอร์มีความสุขมากแต่เขาก็เศร้าในเวลาเดียวกัน
“ข้าได้รู้แล้วว่าจุดจบของโต๊ะกลมนั้นใกล้เข้ามาทุกที
การสูญเสียอัศวินที่กล้าหาญมากมาย แต่กลับไม่มีอัศวินคนใหม่เดินทางมาแทนผู้ที่จากไป”
กษัตริย์อาเธอร์พูดเศร้าๆ
บทที่
9
สิ้นลมหายใจของกษัตริย์
วันหนึ่งกษัตริย์อาเธอร์และหนึ่งในอัศวินผู้ยอดเยี่ยมของเขา
เซอร์กาเวน ได้เดินทางไปที่ฝรั่งเศส ขณะนั้นเซอร์แลนเซล็อตได้อาศัยอยู่ในฝรั่งเศสพอดี
เมื่อกษัตริย์อาเธอร์รู้เข้าจึงโกรธมาก และอยากที่จะต่อสู้กับเขาที่นั่น
แต่เมื่อกษัตริย์อาเธอร์เดินทางออกจากคาเมล็อตมาแล้ว
อัศวินผู้ชั่วร้าย นามว่า เซอร์มอร์เดรต ก็ได้เดินทางเข้าไปที่เมืองนั้น
เขาต้องการที่จะลักพาตัวราชินีกวินนิเวียร์
“กษัตริย์อาเธอร์สิ้นพระชนม์เสียแล้ว
ฝ่าบาท” เขาบอกกับราชินี
“ในการต่อสู้ที่ฝรั่งเศส ตอนนี้ข้าเป็นกษัตริย์แล้ว... ส่วนท่านก็ต้องมาเป็นราชินีของข้า”
“ให้ข้าตายเสียยังดีกว่า!”
ราชินีร้องบอก
แล้วกวินนิเวียร์ก็หนีไปยังปราสาทในลอนดอนพร้อมกับอัศวินของนาง มอร์เดรตกับคนของเขาก็ไล่ตามราชินีมาถึงลอนดอนเช่นกัน
แต่ทว่ากำแพงปราสาทที่นี่นั้นแข็งแรงมากจนเขาไม่สามารถที่จะเข้าไปได้
ขณะนั้นเอง
ก็มีคนส่งสารของมอร์เดรตมาบอกเขาว่า
“กษัตริย์อาเธอร์พร้อมด้วยอัศวินและทัพเรือกำลังเดินทางมาที่เกาะอังกฤษ”
มาร์เดรตกับคนของเขาจึงเดินทางไปที่เมืองโดเวอร์และรอกษัตริย์อาเธอร์อยู่ที่นั่น
ทันทีที่กษัตริย์อาเธอร์มาถึงก็เกิดการต่อสู้ขึ้น
แต่ฝ่ายเซอร์มอร์เดรตไม่สามารถเอาชนะได้ คนของเขาจึงวิ่งหนีไป ถึงกระนั้นคนของเซอร์มาร์เดรตก็ได้ทำให้เซอร์กาเวนบาดเจ็บสาหัส
กษัตริย์อาเธอร์พบร่างของอัศวินผู้กล้าหาญของเขานอนอยู่บนพื้น
“ข้ากำลังจะตาย ท่านช่วยนำบันทึกกับปากกามาให้ข้าที
ข้าอยากจะฝากคำของข้าไปถึงเซอร์แลนเซล็อต”
เขาเขียนว่า
ถึง แลนเซล็อต
ข้ารู้ว่าข้ากำลังจะตาย
ข้ารักเจ้าพี่ชายของข้า โปรดมา
ช่วยกษัตริย์อาเธอร์ในการต่อสู้กับเซอร์มอร์เดรตผู้ชั่วร้าย
ไม่มีอัศวินใดที่จะกล้าหาญไปกว่าเจ้าอีกแล้ว
ลาก่อน สหายของข้า
กาเวน
เมื่อเขาเขียนเสร็จก็สิ้นใจ
การจากไปของเซอร์กาเวนสหายผู้เป็นที่รักและกล้าหาญ
กษัตริย์อาเธอร์จึงรู้สึกโศกเศร้าอย่างมาก เขายืนร้องไห้อยู่ข้างร่างไร้วิญญาณของอัศวินเนิ่นนานตลอดทั้งคืนนั้น
เซอร์มอร์เดรตได้รวมคนเพิ่มขึ้นแล้วรออาเธอร์อยู่ใกล้ทะเลสาป
กษัตริย์อาเธอร์รู้จักที่แห่งนั้นดี เพราะมันอยู่ใกล้กับทะเลสาบที่เขาได้รับดาบเอ๊กซ์คาลิเบอร์มา
ในคืนก่อนการต่อสู้
อาเธอร์ได้ฝันถึงเซอร์กาเวน
“พรุ่งนี้อย่าไปเลยฝ่าบาท ขอเพียงให้ท่านรออีกเพียงเดือนเดียวเท่านั้น
แลนเซล็อตและกองทัพของเขาจะมาช่วยท่าน
แล้วเขาก็จะช่วยให้ท่านและราชินีสามารถกลับไปที่คาเมล็อตได้"
กษัตริย์บอกความฝันนี้แก่อัศวินที่เหลืออยู่ของเขา
“เราจะไม่ออกรบในวันนี้ ข้าจะไปพูดกับมอร์เดรต พวกเจ้ามากับข้าด้วย อย่าดึงดาบออกจากฝักถ้าไม่จำเป็น
จะใช้มันก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายชักดาบของพวกเขาออกมาเท่านั้น
จากนั้นก็ปลิดชีพพวกนั้นเสีย!”
กษัตริย์อาเธอร์ได้ส่งคนของเขาออกไปหามอร์เดรต
ชายคนนั้นบอกแก่เขาถึงสิ่งที่อาเธอร์ต้องการ
จึงทำให้ไม่เกิดขึ้นการต่อสู้ขึ้นในวันนั้น แล้วอาเธอร์ก็ไปพบมอร์เดรต
ทั้งสองได้ยืนคุยกัน โดยที่อัศวินของกษัตริย์อาเธอร์ก็คอยอารักขาอยู่ใกล้ๆ
กษัตริย์ และอัศวินของมอร์เดรตก็ยืนอยู่ข้างๆ มอร์เดรตเองเช่นกัน
ทันใดนั้นก็มีบางอย่างกระโดดออกมาทางอัศวินของมอร์เดรต
ด้วยความตกใจอัศวินดึงดาบออกจากฝักแล้วฆ่าสัตว์ตัวนั้นทันที เมื่ออัศวินคนอื่นๆ
เห็นดังนั้น พวกเขาจึงชักดาบออกมาพร้อมกัน
“วันนี้คงเป็นวันที่แย่เสียจริง!”
กษัตริย์อาเธอร์พูดออกมา แล้วการต่อสู้ก็เริ่มขึ้น
พวกเขาต่อสู้กันทั้งวัน
จนกระทั่งพลบค่ำ กษัตริย์อาเธอร์เห็นอัศวินของเขาเพียงสองคนเท่านั้นที่เหลือรอด
ซึ่งก็คือ เซอร์ลูเคน และเซอร์เบดิเวียร์ อัศวินคนอื่นๆ ตายหมดแล้ว อาเธอร์ร้องตะโกนออกมาอย่างเจ็บปวด
เมื่อพบร่างอัศวินที่กล้าหาญของเขานอนตายอยู่รอบตัวเขา
มอร์เดรตยืนถือดาบของเขาแล้วมองไปที่อัศวินของเขาที่ตายไปแล้วเช่นกัน
แล้วอาเธอร์ก็วิ่งเข้าใส่มาร์เดรตและปลิดชีพเขา ร่างมาร์เดรตล้มลง แต่ก็ทิ้งบาดแผลสาหัสไว้ให้กับกษัตริย์อาเธอร์เซอร์ลูเคนและเซอร์เบดิเวียร์ช่วยกันพยุงกษัตริย์อาเธอร์ไปยังโบสถ์เล็กๆ
ที่อยู่ถัดจากทะเลสาป แต่ทันทีที่พวกเขาไปถึง เซอร์ลูเคนที่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวจึงสิ้นใจเสียตรงนั้น
ท้องฟ้าที่มืดมิดมาพร้อมกับความหนาวเย็นยามค่ำคืน
อาเธอร์รู้สึกอ่อนแรงลงอย่างมาก
“ข้าก็กำลังจะตายเช่นกัน มันคงถึงเวลา แต่ได้โปรดเอาดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์
ขว้างลงในทะเลสาปให้ข้าทีเถิด” เขาบอกเซอร์เบดิเวียร์
เซอร์เบดิเวียร์ถือดาบเดินไปที่ทะเลสาป
เขาก็เหลือบมองไปที่ดาบงดงามนั้น
‘เหตุใดข้าจะต้องทิ้งดาบที่สวยงามเช่นนี้ลงไปในทะเลสาปกันล่ะ? ทั้งที่ทำแบบนั้นมันไม่สามารถที่ช่วยกษัตริย์อาเธอร์ให้รอดได้เลย’ เขาคิด
ดังนั้น
เขาจึงวางดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ไว้ใต้ก้อนหินใหญ่แล้วกลับไปหากษัตริย์
เขาบอกกับกษัตริย์ว่า
“ข้าได้ทำตามที่ท่านขอ
ข้าโยนดาบของท่านลงทะเลสาปแล้ว”
“แล้วเจ้าเห็นอะไรบ้าง?”
กษัตริย์ถาม ทั้งที่รู้สึกหนาวยะเยือกและเจ็บปวดบาดแผลอย่างมาก
“ข้าเห็นน้ำ ท้องฟ้า
และก้อนหิน เท่านั้นฝ่าบาท”
“งั้นเจ้าก็ไม่ได้ทำสิ่งที่ข้าบอกเจ้า...
เจ้าไม่ได้โยนดาบลงไปในทะเลสาป” กษัตริย์
อาเธอร์พูด
“ไปเสีย
ไปโยนดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ลงในทะเลสาป แล้วกลับมาหาข้าอีกครั้ง”
เซอร์เบดิเวียร์ไปที่ทะเลสาปแล้วจับดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ขึ้นมา
เขามองไปที่มันอีกครั้ง
‘ข้าไม่สามารถที่จะโยนดาบที่สวยงามเล่มนี้ลงทะเลสาปได้ เพราะข้าอยากที่จะครอบครองมัน’
แล้วเขาก็นึกถึงสิ่งที่กษัตริย์อาเธอร์บอกเขา
ถึงกระนั้นเขาก็นำดาบไว้ใต้หินก้อนใหญ่นั้นเช่นเดิม แล้วกลับไปหากษัตริย์อาเธอร์
“ข้าเห็นน้ำ ท้องฟ้า และก้อนหิน แล้วดาบนั้นก็ได้ตกลงไปในทะเลสาปแล้วฝ่าบาท”
เขาพูด
“ไปอีกครั้ง” กษัตริย์อาเธอร์พูดด้วยความรู้สึกเศร้าสุดใจ
“ไป เร็วเข้า
ข้ากำลังจะตาย”
“โอ กษัตริย์
ข้ารู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง” เบดิเวียร์พูด
“ข้าจะทำตามที่ขอ”
เขากลับไปที่ทะเลสาปอย่างรวดเร็ว
แล้วฉวยดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ขึ้น แล้วเขาก็ขว้างดาบสุดแรง แล้วเขาก็เห็นน้ำในทะเลสาปเป็นรูปมือสีฟ้ายื่นขึ้นมาจับดาบไว้
แล้วมือสีฟ้านั้นก็จมลงไปในน้ำพร้อมกับดาบเล่มนั้น
เซอร์เบดิเวียร์กลับไปหากษัตริย์แล้วเล่าถึงสิ่งที่เขาเห็น
“ตอนนี้...” กษัตริย์อาเธอร์พูด
“พาข้าไปที่ทะเลสาปที
เร็ว!”
แล้วเซอร์เบดิเวียร์ก็พยุงเขาไปที่ทะเลสาป
ปรากฎว่ามีเรือสีดำยาวลำหนึ่งอยู่เหนือน้ำ ในนั้นมีหญิงสาวอยู่สองคนสวมชุดสีดำ
คนหนึ่งเป็นธิดาแห่งทะเลสาป ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือราชินีมอร์แกน เลอ เฟย์นั่นเอง
เขามองไปที่ใบหน้าพวกนางแล้วครุ่นคิด
‘ข้ารู้จักพวกนาง ตอนที่พวกนางยังมีชีวิตอยู่ ข้าต้องรู้จักพวกนางแน่นอน
ตอนนี้พวกนางคงตายแล้ว แต่ข้ายังคงจำได้ดี’
“พาข้าไปนั่งบนเรือนั่นที” กษัตริย์อาเธอร์พูด
เซอร์เบดิเวียร์จึงทำตาม
เมื่อกษัตริย์อยู่บนเรือแล้ว
หญิงสาวเหล่านั้นก็ยืนขึ้นอยู่ข้างๆ เขา
“ข้ากำลังจะจากเจ้าไปแล้ว ข้าอยากให้เจ้าเผยแพร่เรื่องราวของข้ากับอัศวินโต๊ะกลมออกไป
เพื่อที่ว่าวันหนึ่งข้าจะกลับมาในวันที่ประชาชนในอาณาจักรของข้าร้องเรียกหา”กษัตริย์อาเธอร์บอกแก่เซอร์เบดิเวียร์ขณะที่นั่งอยู่บนเรือที่กำลังล่องออกไป
นั่นคือคำพูดสุดท้ายของกษัตริย์อาเธอร์
ก่อนที่เรือจะล่องหายไปในทะเลสาป เซอร์เบดิเวียร์ยืนร่ำไห้
ขณะมองไปที่เรือลำนั้นที่ค่อยๆ ไกลออกไป
และนี่ก็คือจุดจบของตำนานกษัตริย์อาเธอร์และอัศวินโต๊ะกลมผู้กล้าหาญของพระองค์
`
อ้างอิงต้นฉบับภาษาอังกฤษที่แต่งโดย
Deborah
Tempest
Series
Editors: Andy Hopkins and Jocelyn Potter