วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

8 เทพเจ้าอิยิปต์ที่คุณอาจจะไม่เคยรู้จักมาก่อน

จากหลักฐานมากมายในประวัติศาสตร์พบว่าชาวอิยิปต์โบราณนั้นมีเทพเจ้าที่พวกเขาสักการะทั้งหมด 1500 องค์ บางองค์เป็นที่รู้จักกันดี เช่น เทพเจ้าแห่งความตายโอซิริส เทพีแห่งการรักษาไอซิส เป็นต้น ยังมีเทพอีกมากมายหลายองค์ที่ยังถูกปกปิดหรือไม่ได้รับการเปิดเผย ซึ่งในบทความนี้ก็จะมาเผยเทพ/เทพี 8 องค์ที่คุณอาจไม่เคยรู้จักมาก่อน เริ่มที่องค์แรก!


รูปเทพีตัวเรต(Taweret จาก wikipedia)
1. เทพีตัวเรต (Taweret)เทพีตัวเรต นับได้ว่าเป็นเทพี หญิงสาวที่ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งของชาวอิยิปต์เลยทีเดียว ตามความเชื่อนั้นเทพีจะปรากฏกายด้วยรูปลักษณ์ที่ส่วนต่างๆของร่างกายเป็นสัตว์  โดยที่ส่วนหัวและตัวเป็นฮิปโป แขนขาเป็นสิงโต หางเป็นจระเข้  และมักจะใส่วิกผมยาว ถ้าหากลองจินตนาการดูแล้วก็คงเป็นรูปลักษณ์ที่น่ากลัวมากๆ เลยทีเดียว แต่ชาวอิยิปต์โบราณนั้นเชื่อว่าเทพีองค์นี้เป็นเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งยังคอยปกป้องคุ้มครองเด็กๆ จากปิศาจเหมือนที่ปกป้องลูกน้อยๆ อีกด้วย เทพีองค์นี้ไม่มีวิหาร แต่มักจะปรากฏอยู่บนจิตรกรรมฝาผนัง เตียง เหยือกน้ำตามบ้านเรือน หรือในวังมากกว่านอกจากนี้ยังมีอสูรกายที่รูปลักษณ์เป็นสัตว์มากมายผสมกัน ที่มีความคล้ายกับเทพีอยู่เหมือนกัน ซึ่งก็คือ อัมมุต (Ammit) เป็นอสูรกายที่มีส่วนหัวเป็นจระเข้ ลำตัวช่วงบนเป็นเสือหรือสิงโต ส่วนช่วงล่างเป็นฮิปโป ที่คอยกินหัวใจของวิญญาณที่ได้รับการตัดสินจากเทพโอซิริสว่าเป็นบาปนั่นเอง


รูปเทพเบส จาก ancientegyptonline

2. เทพเบส (Bes)เทพองค์เป็นเทพอีกองค์หนึ่งที่ได้ชื่อว่าผู้ปกปักรักษาแม่และเด็ก มีรูปลักษณ์ที่ป้อมๆ เหมือนคนแคระ จมูกแบน และมักจะแลบลิ้น บางทีก็ปรากฏกายเป็นมนุษย์ บางทีก็ครึ่งมนุษย์ครึ่งสิงโต มีหมวกที่ทำจากขนนก มักจะถือกลองหรือไม่ก็มีดเทพองค์นี้สามารถที่จะไล่งู วิญญาณชั่วร้าย และอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับทารก เด็กๆ แม้แต่ตอนร่วมรัก และนอนหลับ ด้วยการเต้นและเล่นดนตรี  ซึ่งรูปปั้นและภาพวาดของเทพองค์นี้จะตั้งไว้ในห้องนอนของชาวอิยิปต์ และในวิหารอาบูซิมเบลของเทพีอาธอร์



รูปเทพีไนธ์ จาก ancient.eu

3. เทพีไนธ์ (Neith)เป็นเทวีแห่งความร่ำรวยและการสงคราม รูปลักษณ์เป็นเทพผู้หญิงที่สวมศิราภรณ์ของฟาโรห์แห่งอียิปต์บนและล่างรวมกัน เป็นที่นับถือมากในสมัย ฟาโรห์ซัมเมติคุสที่ 1 (Psammeticus I) เมื่อ 600 ปีก่อนคริสตกาล ทรงมีสัญลักษณ์เป็นลูกธนูไขว้กัน มักพบจิตรกรรมฝาผนังของเทพีองค์นี้ที่วิหาร Khnum ที่ Esna ในอิยิปต์ตอนบน ซึ่งเทพีจะปรากฎตัวเป็นลายน้ำนูนขึ้นมา นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้จักและนับถืออย่างมากในเมืองเดลต้าของอิยิปต์ ถึงขนาดมีวิหารของเทพีอยู่ที่นั่น เป็นที่รู้จักในชื่อ “house of the bee” ในราชวงศ์ที่ 26 ของอิยิปต์ (664-525 BCE) ครั้งที่ไซอัสเป็นเมืองหลวงของอิยิปต์ เทพีไนธ์ได้รับการนับถือเป็นเทพีแห่งรัฐ  แต่หลังจากนั้นเมื่อราชวงศ์นี้สิ้นลง พระศพมากมายถูกฝังไปพร้อมกับวิหารของเทพี ซึ่งในปัจจุบันนั้นยังไม่มีการค้นพบ 


4. เทพอาเต็น (Aten)หากเทียบกับเทพีตัวเรตหรืออามุตแล้วละก็ ในเรื่องรูปลักษณ์ของเทพอาเต็นก็ถือว่าตรงกันข้ามเลยก็ว่าได้  เพราะเทพองค์นี้ไม่มีรูปลักษณ์ที่แน่นอน เพียงแต่ได้ชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ หรือเทพแห่งดวงอาทิตย์นั่นเอง รัศมีแสงจากดวงอาทิตย์คนอิยิปต์เปรียบเป็นมือของพระองค์นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นที่มาของราชวงศ์อิยิปต์ที่ขึ้นต้นด้วย ankh (อัค) และให้ถือว่าเทพอาเต็นเป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิต  ซึ่งราชวงศ์นั้นมีฟาโรห์อยู่องค์หนึ่งชื่อว่า อัคเคนาเต็น (1352-1336 BC) พระองค์ทรงยกเลิกการนับถือเทพองค์โบราณของอิยิปต์ และให้ประชาชนหันมารับถือเทพอาเต็นเพียงองค์เดียว แต่หลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ความเชื่อต่อเทพองค์อื่นๆ ก็ได้รับการฟื้นฟูโดยฟาโรห์ตุตันคาเมน (1336-1327 BC)    

รูปเทพีเซคเมตจาก landofpyramids.org
5. เทพีเซคเมต (Sekhmet)เทพีเซคเมตจะมีรูปร่างเหมือนกับเทพีฮาธอร์  เพราะเทพีองค์นี้ก็คือร่างอวตารของเทพีฮาธอร์เวลาโกรธนั่งเอง เทพีฮาธอร์เป็นเทพีแห่งความเป็นแม่ และความมึนเมาด้วย แต่เมื่อโกรธ ก็จะกลายเป็นเทพีเซคเมต รูปลักษณ์ก็เปลี่ยนไป โดยที่ส่วนหัวจะกลายเป็นเสือ หายใจเป็นไฟ และพร้อมที่จะเผาศัตรูด้วยไฟที่แรงพอๆ กับความร้อนของดวงอาทิตย์ยังมีตำนานเล่าอีกด้วยว่า ครั้งนึงที่ชาวอิยิปต์เริ่มต่อต้านฟาโรห์ซึ่งมีเทพประจำตัวเป็นเทพเรนั้น ส่งผลให้เทพเรส่งเทพีเซคเมตมาเพื่อแผดเผาชาวอิยิปต์ทุกคนรวมถึงแพร่โรคระบาด แต่แล้วเทพเรก็เปลี่ยนใจที่จะรักษามนุษย์บนโลกไว้ และเมื่อเทพีเซคเมตหายโกรธ จึงใช้เวทย์มนต์รักษาเยียวยามนุษย์ให้กลับเป็นเหมือนเดิม ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยทีเดียว



 6. เทพเคปริ (Khepri)เทพเคปริเทพแห่งอรุณรุ่ง หรือก็คือพระอาทิตย์ตอนเช้านั่นเอง มีรูปร่างเป็นด้วง บางทีก็เป็นมนุษย์มีหัวเป็นด้วงหรือหัวเป็นเหยี่ยว ในความเชื่อของคนอิยิปต์โบราณพระองค์จะคอยกลิ้งดวงอาทิตย์ข้ามขอบฟ้า ชาวอิยิปต์โบราณยังชอบทำเครื่องประดับ หรือพกเครื่องรางออกมาเป็นรูปด้วงอีกด้วย เพราะพวกเขาเชื่อว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ หรือสร้างขึ้นมาใหม่  อย่างไรก็ดี แม้จะไม่มีวิหารของเทพคาปริ แต่สัญลักษณ์ด้วงที่เป็นตัวแทนของพระองค์นั้น ก็มักปรากฏร่วมกับรูปปั้น หรือสัญลักษณ์ของเทพเจ้าองค์อื่นๆ ในสุสานของชาวอิยิปต์  7. เทพีเรเนนูเทต (Renenutet)เทพีองค์นี้เป็นเทพีแห่งงู  (ซึ่งงูของอิยิปต์นั้น เมื่อโตเต็มวัยก็มีความยาวถึง 9 ฟุต เลยทีเดียว บวกกับความดุร้าย) รูปร่างเป็นหญิงสาวแต่มีหัวเป็นงู เป็นเทพีแห่งการเก็บเกี่ยวและความอุดมสาบูณ์ นอกจากนั้นเทพียังเป็นสัญลักษณ์ขององครักษ์หรือทหารในวัง ซึ่งทหารทุกคนก็จะมีสัญลักษณ์และเครื่องรางรูปงูติดตัวไว้ทุกคนเพื่อปกป้องตนเองจากความตาย แถมถ้านำเครื่องรางหรือรูปปั้นมาไว้ในบ้าน ชาวอิยิปต์ก็เชื่อด้วยว่าจะไล่สิ่งชั่วร้ายออกไปได้


  8. เทพเก๊บ (Geb)ถ้าพูดถึงเทพแห่งผืนแผ่นดินแล้วล่ะก็ทุกคนจะนึกถึงขึ้นได้ว่าในหลายๆ ตำนานนั้น เป็นผู้หญิง แต่เทพแห่งผืนแผ่นดินของชาวอิยิปต์เป็นผู้ชาย เป็นตัวแทนแห่งแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ ตามความเชื่อของชาวอิยิปต์โบราณเขายังนับเป็นเทพที่น่าเกรงขาม และมีพลังในการรักษาเยียวยาโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วยมีหลายความเชื่อที่ว่าบางทีเทพองค์นี้ก็ปรากฏตัวออกมาในรูปของราชาสวมมงกุฎ และในรูปของห่าน ซึ่งบางครั้งเป็นมนุษย์ผู้ชายที่มีห่านอยู่บนหัว  นอกจากนี้ เทพเก๊บยังถูกนำมาเชื่อมโยงกับตำนานกรีกโบราณ ซึ่งชาวกรีกโบราณเชื่อว่าเทพเก๊บก็คือยักษ์โครนอส ผู้ที่ได้รับคำสั่งจากแม่ก็คือ เทพีไกอา ให้ไปฆ่าพ่อของตนเองซึ่งก็คือ เทพยูเรนัสนั่นเอง  

ที่มา historyextra.com

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

แมวขี้เกียจ กับ กับดักหนู (translated Chinese fairy tale into TH)

懒猫与捕鼠夹
Lǎn māo yǔ bǔ shǔ jiā

แมวขี้เกียจ กับ กับดักหนู




一只懒得出奇的猫整日里无所事事,
Yī zhǐ lǎn dé chūqí de māo zhěng rì lǐ wúsuǒshìshì,

吃饱喝足了就躲在墙角落睡觉。
chī bǎo hē zúle jiù duǒ zài qiáng jiǎoluò shuìjiào.

มีแมวขี้เกียจตัวหนึ่งที่วันๆ ไม่รู้จักทำอะไรเลยนอกจาก กิน และนอน อยู่ในมุมๆ หนึ่งของบ้าน 


主人拿它没办法,就在家里安上捕鼠夹捕鼠。
Zhǔrén ná tā méi bànfǎ, jiù zài jiālǐ ān shàng bǔ shǔ jiā bǔ shǔ.

เจ้าของบ้านทนไม่ไหว จึงต้องใช้กับดักหนูอย่างไม่มีทางเลือก


听说捕鼠夹也能捕鼠,懒猫高兴得一蹦三尺高。
Tīng shuō bǔ shǔ jiā yě néng bǔ shǔ, lǎn māo gāoxìng dé yī bèng sān chǐ gāo.
"ได้ยินมาว่ากับดักนี้สามารถจับหนูได้" แมวจอมขี้เกียจกระโดดสูงสามฟุตด้วยความดีใจ


“妙,妙,太妙了,总算熬到头了!”
“Miào, miào, tài miàole, zǒngsuàn áo dàotóule!”


懒猫如释重负,它急匆匆地找到捕鼠夹,双眼里充满期待
Lǎn māo rúshìzhòngfù, tā jícōngcōng de zhǎodào bǔ shǔ jiā, shuāngyǎn lǐ chōngmǎn qídài
"เมี้ยว เยี่ยมเลย เยี่ยมเลย  ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง!" เจ้าแมวร้องออกมา มันเดินไปที่กับดักอย่างรวดเร็ว ด้วยแววตาคาดหวัง 

“我的心肝宝贝,今后全指靠你了,
“Wǒ de xīngān bǎobèi, jīnhòu quán zhǐ kào nǐle,

好好接我的班,安心干这一行吧!”
 hǎohǎo jiē wǒ de bān, ānxīn gàn zhè yīxíng ba!”

"เจ้ากับดักที่รัก อนาคตขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วนะ เพราะเจ้าจะมาทำหน้าที่จับหนูแทนฉันยังไงล่ะ"

“这是理所当然的,忠于职守除鼠为民,
“Zhè shì lǐsuǒdāngrán de, zhōngyú zhíshǒu chú shǔ wèi mín,

是我捕鼠夹义不容辞的责任啊,只是,”
shì wǒ bǔ shǔ jiā yìbùróngcí de zérèn a, zhǐshì,”
"แน่นอนอยู่แล้ว มันเป็นหน้าที่ของฉันที่จะเสียสละตัวเองเพื่อกำจัดหนูเพื่อผู้คนมากมาย แต่ว่า...

捕鼠夹满脸狐疑地望着懒猫:
Bǔ shǔ jiā mǎn liǎn húyí de wàngzhe lǎn māo:

“你说让我好好接班,今后你又干什么呢?”
“Nǐ shuō ràng wǒ hǎohǎo jiēbān, jīnhòu nǐ yòu gànshénme ne?”

แล้วกับดักก็มองไปที่แมวขี้เกียจด้วยความสงสัยแล้วถามว่า "เธอให้ฉันจับหนูแทน แล้วเธอจะทำอะไรล่ะ?"

“我?就不再起早摸黑地为捉鼠操劳了。”
“Wǒ? Jiù bù zàiqǐ zǎo mōhēi dì wèi zhuō shǔ cāoláole.”

懒猫轻松地舒展双臂打着呵欠挺惬意地说
Lǎn māo qīngsōng de shūzhǎn shuāng bì dǎzhe hēqiàn tǐng qièyì dì shuō
"ฉันน่ะหรอ? ก็คงจะไม่ต้องตื่นแต่เช้ามืดมาจับพวกหนูอีกแล้วน่ะสิ" เจ้าแมวขี้เกียจเกาแขนและหาวปากกว้างแล้วพูดต่ออีกว่า

“今后你在前方打仗,我为你打扫战场;
“Jīnhòu nǐ zài qiánfāng dǎzhàng, wǒ wèi nǐ dǎsǎo zhànchǎng;

你设陷阱捕鼠,我乐享其成。咱俩分工合作各尽其能
nǐ shè xiànjǐng bǔ shǔ, wǒ lè xiǎng qí chéng. Zán liǎ fēngōng hézuò gè jìn qí néng


——费心出力的事归你干,我过舒适的日子享清福。”
——fèixīn chūlì de shì guī nǐ gàn, wǒguò shūshì de rìzi xiǎng qīngfú.”
"ต่อไปเจ้าก็มาทำหน้าที่จับหนูแทน ส่วนฉันก็คอยเก็บกวาดซากหนูเอง ก็นั่นแหละเจ้าก็แค่คอยดักจับหนูไว้ ...มันดีจริงๆ เราทั้งคู่ต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดกันเถอะ ฉันจะคอยสนับสนุนหน้าที่ของเจ้าเอง ...จากนั้นฉันก็จะได้นอนอย่างสุขสบายเสียที"

“懒家伙你听着,好逸恶劳贪图享乐这是堕落的表现!”
“Lǎn jiāhuo nǐ tīngzhe, hàoyìwùláo tāntú xiǎnglè zhè shì duòluò de biǎoxiàn!”

听了懒猫的一番自白,捕鼠夹神态严肃毫不客气地告诫它:
Tīngle lǎn māo de yī fān zìbái, bǔ shǔ jiā shéntài yánsù háo bù kèqì de gàojiè tā:
"เจ้าเหมียวขี้เกียจ ที่เธอพูดมามันเป็นสิ่งที่แย่มาก!" หลังจากที่ได้ยินเจ้าเหมียวพูดแบบนั้น กับดักจึงพูดตักเตือนว่า


“如果你不继续捕鼠除害为人类作贡献,
“Rúguǒ nǐ bù jìxù bǔ shǔ chú hài wéi rénlèi zuò gòngxiàn,
"ถ้าเธอไม่ช่วยมนุษย์จับหนูแล้ว จะไปทำอะไรล่ะ 

想从此不劳而获过寄生生活,那么你就是一具行尸走肉,
Xiǎng cóngcǐ bùláo'érhuòguò jìshēng shēnghuó, nàme nǐ jiùshì yī jù xíngshīzǒuròu,

活在世上还有什么意义呢?”
huó zài shìshàng hái yǒu shé me yìyì ne?”

อยากจะเกาะมนุษย์กินตลอดชีวิตเหมือนพวกกาฝาก นอนนิ่งๆ ไม่ต่างอะไรกับซากศพ 
แล้วอะไรคือความหมายของการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้กันล่ะ?"

懒猫顿感羞愧,连忙转身溜回墙角,躲着不敢再露面了。
Lǎn māo dùn gǎn xiūkuì, liánmáng zhuǎnshēn liū huí qiángjiǎo, duǒzhe bù gǎn zài lòumiànle.
เมื่อได้ยินดังนั้นแมวขี้เกียจเดินกลับไปยังมุมประจำของมันด้วยความอับอาย และไม่กล้าที่สู้หน้าเจ้ากับดักอีกเลย


น้องๆ เพื่อนๆ อย่าเอาอย่างเหมียวนะ

เครดิต tonghua.sanwen.net

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Snowflakes (translated Chinese Fables into TH)

雪花
Xuěhuā
Snowflakes 
เกล็ดหิมะ
(translated Chinese Fables  into TH)


天寒地冻,纷纷扬扬的雪花飘落在田野上。
Tiān hán dì dòng, fēnfēnyángyáng de xuěhuā piāoluò zài tiányě shàng.

ในฤดูหนาวมักจะมีเกล็ดหิมะตกลงมา และทุกๆ ที่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยสีขาว 

躲藏在麦田里的害虫们冻得受不了,
Duǒcáng zài màitián lǐ de hàichóngmen dòng de shòu bùliǎo,
ในทุ่งข้าวแห่งหนึ่ง มีแมลงและสัตว์ตัวน้อยๆ อาศัยอยู่ 

个个咬牙切齿地咀咒着雪花。
gè gè yǎoyáqièchǐ de jǔ zhòuzhe xuěhuā.
พวกมันรู้สึกหนาวมากจนปากสั่น

“你这该死的家伙,怎么不远离我们些呢?”
“Nǐ zhè gāisǐ de jiāhuo, zěnme bù yuǎnlí wǒmen xiē ne?”
ทำไมเกล็ดหิมะพวกนี้ถึงไม่ไปอยู่ที่อื่นกันนะ

害虫们骂不绝口:“知道你的罪孽多么深重吗?
Hàichóngmen mà bù juékǒu:“Zhīdào nǐ de zuìniè duōme shēnzhòng ma?

เหล่าแมลงและสัตว์ตัวเล็กๆ พากันต่อว่า รู้หรือเปล่าว่าแบบนี้น่ะมันบาป?” 

你给大地带来可怕的严寒,
Nǐ gěi dàdì dài lái kěpà de yánhán,


给我们带来毁灭性的灾难,你永远不会受我们欢迎的。”
gěi wǒmen dài lái huǐmiè xìng de zāinàn, nǐ yǒngyuǎn bù huì shòu wǒmen huānyíng de.”
พวกเจ้าพาความหนาวเย็นมาสู่โลก แถมยังทำให้พวกเราต้องมาพบเจอภัยความหนาวจากพวกเจ้าอีก พวกเราอยากให้พวกเจ้าหายๆ ไปเสีย

“这正是我的光荣和骄傲,可怜虫们。”雪花微笑着回答说:
“Zhè zhèng shì wǒ de guāngróng hé jiāo'ào, kělián chóngmen.” Xuěhuā wéixiàozhe huídá shuō:
“...มันเปรียบเสมือนหมาป่าผู้น่าสงสาร แต่ก็มีเกียรติ และน่าภาคภูมิใจของข้าเอง" เกล็ดหิมะยิ้ม และยังคงพูดต่อ 

“如果受到你们欢迎,我可就糟了。
“Rúguǒ shòudào nǐmen huānyíng, wǒ kě jiù zāole.
“ข้าไม่เป็นที่ยอมรับนั่นก็อาจเป็นเพราะว่าข้าคงแย่จริงๆ 

你们危害农作物成长,我就是要置你们于死地,

Nǐmen wéihài nóngzuòwù chéngzhǎng, wǒ jiùshì yào zhì nǐmen yú sǐdì,

ถึงอย่างนั้นพวกเจ้าน่ะ ทำให้ผลผลิตจากไร่สวนเสียหาย ข้าน่ะอยากจะกำจัดพวกเจ้าไปเสีย 

为来年夺取农业大丰收提供保障,这于我又何错之有呢?”

wéi láinián duóqǔ nóngyè dà fēngshōu tígōng bǎozhàng, zhè yú wǒ yòu hé cuò zhī yǒu ne?”

เพื่อที่ว่าในฤดูเก็บเกี่ยวที่จะมาถึง พวกพืชผักยังคงอยู่ดี พวกเจ้ามีปัญหากับข้าหรือ?”

雪花并不理会害虫们的咒骂,继续飘落着,
Xuěhuā bìng bù lǐhuì hàichóngmen de zhòumà, jìxù piāoluòzhe, 

小麦在厚厚的棉絮下温暖地过冬,害虫纷纷被冻死。
xiǎomài zài hòu hòu de miánxù xià wēnnuǎn de guòdōng, hàichóng fēnfēn bèi dòng sǐ.
เกล็ดหิมะไม่สนใจสิ่งที่สัตว์แมลงเหล่านั้นพูด และยังคงตกลงมาจากท้องฟ้ามาขึ้นเรื่อยๆ จนพวกมันแข็งตาย


来年春天冰雪融化了。雪水给小麦增加了养份。
Láinián chūntiān bīngxuě rónghuàle. Xuě shuǐ gěi xiǎomài zēngjiāle yǎng fèn.
จนมาถึงฤดูใบไม้ผลิ หิมะได้ละลายกลายเป็นน้ำและสารอาหารให้แก่ต้นข้าว 

由于没有害虫的侵扰,小麦茁壮成长,这一年又是个好收成。
Yóuyú méiyǒu hàichóng de qīnrǎo, xiǎomài zhuózhuàng chéngzhǎng, zhè yī nián yòu shìgè hǎo shōuchéng.
เมื่อไม่มีแมลงและสัตว์เล็กๆ เหล่านั้นแล้ว ต้นข้าวที่ถูกเก็บเกี่ยวในปีนี้ มีสุขภาพดีและสวยงามมาก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

有时候被人反对并不一定都是坏事,
Yǒu shíhou bèi rén fǎnduì bìng bù yīdìng dū shì huàishì, 

关键要看是被谁反对,
guānjiàn yào kàn shì bèi shuí fǎnduì,

以及所被反对的是否有益于多数人。
yǐjí suǒ bèi fǎnduì de shìfǒu yǒuyì yú duōshù rén.
สิ่งที่เราไม่ชอบในบางครั้งมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย เพราะมันอาจเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนส่วนมากก็ได้


เครดิตเนื้อเรื่อง: tonghua.sanwen.net

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

The Seven Ravens By the Grimm Brothers (TH-Translated)

The Seven Ravens 

นกเรเวนทั้ง 7

By the Grimm Brothers (TH-Translated)



There was once a man who had seven sons, and last of all one daughter. Although the little girl was very pretty, she was so weak and small that they thought she could not live; but they said she should at once be christened.
กาลครั้งหนึ่งนั้นมีชายผู้หนึ่งที่มีลูกชาย 7 คน และลูกคนสุดท้องที่เป็นผู้หญิง 1 คน ซึ่งเป็นหญิงสาวที่มีรูปงามมาก แต่ทว่ากลับมีร่างเล็กบางและอ่อนแอ จนทำให้พี่ชายทั้ง 7 ของเธอคิดว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน พี่ชายของเธอมักจะพูดกันว่าน้องสุดท้องของพวกเขาควรจะเข้าร่วมพิธีชำระล้างบาปเสียสักครั้ง

So the father sent one of his sons in haste to the spring to get some water, but the other six ran with him. Each wanted to be first at drawing the water, and so they were in such a hurry that all let their pitchers fall into the well, and they stood very foolishly looking at one another, and did not know what to do, for none dared go home.
ด้วยเหตุนี้ ชายผู้เป็นพ่อของพวกเขาเลยให้ลูกชายหนึ่งคนไปที่บ่อน้ำพุเพื่อไปตักน้ำมา โดยที่ลูกชายทั้ง 6 คนที่เหลือก็วิ่งตามไปด้วย เด็กหนุ่มต่างแย่งกันที่จะได้ตักน้ำเป็นคนแรก ด้วยความเร่งรีบนั้นทำให้พวกเขาเผลอทำเหยือกน้ำตกลงไปในน้ำ เด็กหนุ่มต่างยืนมองหน้ากันด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี และไม่กล้าแม้แต่ที่จะกลับไปบ้าน

 In the meantime the father was uneasy, and could not tell what made the young men stay so long. ’Surely,’ said he, ’the whole seven must have forgotten themselves over some game of play’; and when he had waited still longer and they yet did not come, he flew into a rage and wished them all turned into ravens.
ระหว่างนั้นพ่อของพวกเขาก็รออยู่ที่บ้านอย่างกระวนกระวาย เพราะไม่รู้ว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงกลับมากันช้านัก "แหงล่ะ พวกเขาต้องมัวแต่เล่นกัน จนลืมแน่ๆ ว่าต้องทำอะไร" เขาพูด และยังคงรอลูกของเขาต่อ จนรู้สึกว่าลูกๆ มัวเถลไถลกันนานเกินไป และด้วยความโกรธผู้เป็นพ่อจึงขอให้ลูกชายของเขากลายเป็นนกเรเวนไปเสีย

Scarcely had he spoken these words when he heard a croaking over his head, and looked up and saw seven ravens as black as coal flying round and round. Sorry as he was to see his wish so fulfilled, he did not know how what was done could be undone, and comforted himself as well as he could for the loss of his seven sons with his dear little daughter, who soon became stronger and every day more beautiful.
ไม่ทันไร เขาก็ได้ยินเสียงร้องของนกเรเวนบนฟ้า เมื่อมองขึ้นไปก็พบว่าเป็นนกเรเวนตัวสีดำเหมือนถ่าน 7 ตัว กำลังบินไปมารอบๆ เขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันทีที่คำขอของเขาเป็นจริง เขาไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และพยายามที่จะปลอบใจตัวเองเรื่องที่เขาสูญเสียลูกชายไป โดยหันมาดูแลลูกสาวคนเดียวของเขาที่นับวันจะยิ่งแข็งแรงและงดงามขึ้น

For a long time she did not know that she had ever had any brothers; for her father and mother took care not to speak of them before her: but one day by chance she heard the people about her speak of them.
เด็กสาวเติบโตขึ้นมา โดยที่ไม่รู้เลยว่าตนนั้นเคยมีพี่ชาย ส่วนพ่อกับแม่นั้นต่างก็เลี้ยงดูเธอและไม่เคยเล่าเรื่องพี่ชายให้ฟังเลย แต่แล้ววันหนึ่งเด็กสาวก็ได้ยินผู้คนพูดกันเรื่องนี้โดยบังเอิญ 

’Yes,’ said they, ’she is beautiful indeed, but still ’tis a pity that her brothers should have been lost for her sake.’
"ใช่ ที่จริงน้องสาวคนสุดท้องนั่นก็สวยมากๆ เลยนะ แต่น่าเสียดายที่พี่ชายของเธอต้องหายไปเพราะออกไปหาของให้ตอนที่เธอยังเด็กมากๆ น่ะ

Then she was much grieved, and went to her father and mother, and asked if she had any brothers, and what had become of them. So they dared no longer hide the truth from her, but said it was the will of Heaven, and that her birth was only the innocent cause of it; but the little girl mourned sadly about it every day, and thought herself bound to do all she could to bring her brothers back; and she had neither rest nor ease,
หลังจากที่ได้ยินผู้คนพูดกัน เด็กสาวก็รู้สึกเศร้าใจมาก จึงกลับไปถามพ่อแม่ของเธอเรื่องพี่ชาย ความลับไม่มีในโลก พ่อแม่ของเธอจึงได้ตัดสินใจบอกความจริงไป แล้วก็บอกว่าเป็นสิ่งสวรรค์กำหนดไว้ไม่ใช่ความผิดของเธอ เพราะตอนที่เด็กสาวเกิดมานั้น เป็นเพียงเด็กน้อยไร้เดียงสา ถึงกระนั้นเด็กสาวได้ฟังก็ยิ่งเศร้าโศกเสียใจ ในแต่ละวันเธอครุ่นคิดถึงวิธีที่จะทำให้พี่ชายของเธอกลับมาโดยแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน 

till at length one day she stole away, and set out into the wide world to find her brothers, wherever they might be, and free them, whatever it might cost her.
จนวันหนึ่งเด็กสาวจึงออกเดินทางสู่โลกกว้างเพื่อตามหาพี่ชาย เธอไม่สนใจว่าพี่ชายของเธอได้กลายเป็นอะไร หรือเธอจะต้องสูญเสียอะไรไป

She took nothing with her but a little ring which her father and mother had given her, a loaf of bread in case she should be hungry, a little pitcher of water in case she should be thirsty, and a little stool to rest upon when she should be weary. Thus she went on and on, and journeyed till she came to the world’s end; then she came to the sun, but the sun looked much too hot and fiery; so she ran away quickly to the moon,
เด็กสาวไม่ได้เอาอะไรมาด้วยเว้นเสียแต่แหวนวงน้อยที่พ่อกับแม่เคยให้ไว้ตอนที่ยังเป็นเด็ก ขนมปังหนึ่งก้อนประทังความหิว เหยือกน้ำเล็กๆ ที่ใส่น้ำไว้ได้พอประมาณเพื่อประทังความกระหาย เก้าอี้พับได้เล็กๆ ที่ไว้นั่งพักเวลาที่เธอเมื่อยล้า เด็กสาวยังคงเดินทางต่อไปเรื่อยๆ จนถึงสุดขอบโลก แล้วก็กำลังจะเดินทางไปที่ดวงอาทิตย์ แต่เมื่อเธอเห็นไฟและความร้อนของมันทำให้เธอต้องเดินทางไปดวงจันทร์แทน

but the moon was cold and chilly, and said, ’I smell flesh and blood this way!’ so she took herself away in a hurry and came to the stars, and the stars were friendly and kind to her, and each star sat upon his own little stool; but the morning star rose up and gave her a little piece of wood, and said,
แต่ถึงกระนั้นบนนั้นก็ช่วงหนาวเหน็บเหลือเกิน แต่ทันใดนั้น "กลิ่นของเลือด! ยังใหม่ๆ อยู่เลย ไปตามทางนี้เสียด้วย" แล้วเธอก็เดินทางไปยังดวงดาวแทน ดวงดาวเป็นมิตรและใจดีกับเธอมาก พอถึงตอนเช้าดวงดาวก็ให้เศษไม้ชิ้นเล็กๆ ไว้กับเธอ แล้วบอกว่า

’If you have not this little piece of wood, you cannot unlock the castle that stands on the glass-mountain, and there your brothers live.’ The little girl took the piece of wood, rolled it up in a little cloth, and went on again until she came to the glass-mountain, and found the door shut. Then she felt for the little piece of wood; but when she unwrapped the cloth it was not there, and she saw she had lost the gift of the good stars.
"พี่ชายของเธออาศัยอยู่ที่ปราสาทบนภูเขาแก้วสวยงาม ถ้าหากเธอไม่มีสิ่งที่ฉันให้ไปล่ะก็ เธอก็จะเปิดประตูปราสาทนั้นไม่ได้" เด็กสาวจึงเก็บเศษไม้นี้ไว้ในเสื้อโค้ดของเธอ แล้วเดินทางไปยังปราสาทแห่งนั้น เมื่อไปถึงเธอล้วงกระเป๋าหยิบเศษไม้ที่ดวงดาวให้ไว้ออกมา แต่ปรากฎว่ามันหายไป เด็กสาวรู้ได้ทันทีว่าเธอได้ทำของขวัญที่มีค่าจากดวงดาวหายไปเสียแล้ว 

What was to be done? She wanted to save her brothers, and had no key of the castle of the glass-mountain; so this faithful little sister took a knife out of her pocket and cut off her little finger, that was just the size of the piece of wood she had lost, and put it in the door and opened it.
"ฉันจะทำอย่างไรดี?" เธอต้องการที่จะปกป้องพี่ชาย แต่กลับไม่มีกุญแจที่จะเข้าปราสาทได้อีกแล้ว เธอจึงใช้มีดตัดนิ้วหนึ่งนิ้วของเธอซึ่งมีขนาดพอๆ กับกุญแจเศษไม้ที่ดวงดาวเคยให้มา แล้วใช้มันไขประตูปราสาท

As she went in, a little dwarf came up to her, and said, 
เมื่อเธอเข้าไป ก็มีคนแคราะเดินเข้ามาหา แล้วถามว่า

 ’What are you seeking for?’ 
'I seek for my brothers, the seven ravens,’ answered she. 
Then the dwarf said, ’My masters are not at home; but if you will wait till they come, pray step in.’
"เธอกำลังมองหาอะไรหรือ?" 
"ฉันกำลังตามหาพี่ชายของฉัน... นกเรเวนทั้ง 7 ตัว" เธอตอบ 
แล้วคนแคระก็พูดว่า "ตอนนี้เจ้านายของฉัน ฉันหมายถึงพวกเขาไม่อยู่ที่นี่ แต่ถ้าเธอจะรอละก็เชิญเข้ามาก่อนเถิด

Now the little dwarf was getting their dinner ready, and he brought their food upon seven little plates, and their drink in seven little glasses, and set them upon the table, and out of each little plate their sister ate a small piece, and out of each little glass she drank a small drop; but she let the ring that she had brought with her fall into the last glass.
แล้วคนแคระก็เตรียมอาหารเย็นและเครื่องดื่มไว้สำหรับเจ้านายเรเวนของพวกเขาไว้ 7 ชุด เด็กสาวก็กินและดื่มอาหารที่เตรียมไว้สำหรับพี่ชายของเธออย่างละนิดละหน่อย จนกระทั่งน้ำแก้วสุดท้ายที่เด็กสาวเผลอทำแหวนที่พ่อแม่ให้ไว้ตกลงไปโดยไม่รู้ตัว

On a sudden she heard a fluttering and croaking in the air, and the dwarf said, ’Here come my masters.’ When they came in, they wanted to eat and drink, and looked for their little plates and glasses. Then said one after the other,
แล้วทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงร้องของนกเรเวน คนแคระจึงพูดว่า "เจ้านายของฉันมาแล้ว" เมื่อนกเรเวนทั้ง 7 ตัวมาถึง ก็หิวและกระหายอย่างมาก จึงมองหาอาหารที่มักจะถูกเตรียมไว้สำหรับพวกเขาบนโต๊ะอาหารนั้น แล้วพวกเขาก็ต่างพูดขึ้นว่า

’Who has eaten from my little plate? And who has been drinking out of my little glass?’
"ใครเป็นคนกินอาหารของพวกเราแล้วใครที่ดื่มน้ำจากแก้วของพวกเรา?"


’Caw! Caw! well I ween Mortal lips have this way been.’
"กา! กา! ฉันคิดว่า นี่คงเป็นร่องรอยของคนที่กินอาหารของเราไป"

When the seventh came to the bottom of his glass, and found there the ring, he looked at it, and knew that it was his father’s and mother’s, and said, 
เมื่อนกเรเวนตัวที่ 7 มาถึงที่จานและแก้วของตน เขาก็พบว่ามีแหวนวงหนึ่งนอนก้นอยู่ที่แก้วของเขา เมื่อมองให้ชัดเจน เขาก็รู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นแหวนของพ่อและแม่ของพวกเขา มันทำให้พวกเขานึกขึ้นได้ทันทีแล้วพูดว่า 

’O that our little sister would but come! then we should be free.’
"โอ้ ต้องเป็นน้องสาวของพวกเราแน่ๆ ที่เข้ามาที่นี่ทีนี้พวกเราก็จะได้เป็นอิสระกันแล้ว

When the little girl heard this (for she stood behind the door all the time and listened), she ran forward, and in an instant all the ravens took their right form again; and all hugged and kissed each other, and went merrily home.
เมื่อเด็กสาวที่แอบฟังอยู่หลังประตูมาตลอดได้ยินดังนั้น จึงวิ่งออกมาหานกเรเวนทั้ง 7 ทันที แล้วจากนั้นนกเรเวนทุกตัวก็คืนร่างกลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง เหล่าพี่ชายและน้องสาวต่างกอดกันด้วยความคิดถึง จากนั้นก็เดินทางกลับบ้านอย่างมีความสุข


แปลโดยน้องหมีเต็มบ้าน


เครดิต: authorama.com





วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

9 ข้อเท็จจริงสุดแสนประหลาดเกี่ยวกับความเป็นมาของแอปเปิ้ล

ในปัจจุบันแอปเปิ้ลจัดว่าเป็นผลไม้ที่ฮอตฮิตไปทั่วโลก ดังนั้น ความเป็นมาของมันก็น่าค้นหามากทีเดียว ซึ่งนักประวัติศาสตร์อาหาร Joanna Crosby ก็ได้ออกมาเปิดเผย 9 สิ่งที่คุณอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของแอปเปิ้ลไว้แล้ว
ในบทความนี้!



1) แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ป่าที่เติบโตขึ้นในยุโรปตะวันออก
ผลของมันแต่ก่อนนั้น เล็กและขมกว่าแอปเปิ้ลที่เรากินในปัจจุบันนี้เสียอีก ในอดีตผู้คนที่เคยได้ลิ้มรสของแอปเปิ้ลนั้น ต้องการที่จะให้มันมีลูกโตและหวานกว่านี้ พวกเขาจึงเริ่มนำมันเข้าสู่กระบวนการการคัดสรร ซึ่งกระบวนการนี้แพร่หลายอย่างมากในยุโรปและในแถบบอลติกเหนือ



2) ในความเชื่อดั้งเดิมของชาวคริสเตียน แอปเปิ้ลถือได้ว่าเป็นผลไม้ต้องห้าม ที่อีฟเป็นคนกินเข้าไปถูกต้องใช่ไหม?  คำตอบคือ ไม่ใช่


อีฟได้กินผลจากต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่วต่างหาก ซึ่งก็ทำให้พระเจ้าต้องขับไล่อีฟและอดัมออกไปจากสวนอีเดน อย่างไรก็ดี ไม่เคยมีคำอธิบายที่ว่าผลไม้นั้นคือผลจากต้นแอปเปิ้ลแต่อย่างใด หากแต่มันถูกนำมาเปรียบเปรยในเรื่องเล่าต่างๆ ของศิลปินในอดีตกาลเท่านั้น


3) ต้นแอปเปิ้ลนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากเมล็ด แต่แอปเปิ้ลนั้นเกิดขึ้นมาจากต้นไม้ที่พิเศษต้นหนึ่ง
ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ได้รับการตอนกิ่งแอปเปิ้ลเข้าไปแล้วนั่นเอง ทั้งชาวอียิป กรีก และโรมันโบราณต่างก็รู้ถึงวิธีการดังกล่าวเป็นอย่างดี ชาวเซลท์บนหมู่เกาะอังกฤษก็รู้ถึงวิธีการเพาะปลูกแอปเปิ้ลนี้เช่นกัน แล้วมันก็ได้เติบโตขึ้นในบริเทนก่อนการปรากฎตัวของชาวโรมันซะอีก


4) เชื้อราชวงศ์มักโปรดปราณแอปเปิ้ล

พระเจ้าเฮนรี่ที่ 7 ที่ถึงขนาดกวาดต้อนซื้อแอปเปิ้ลเพื่อไว้สำหรับเสวยเอง และสมัยต่อมาก็คือ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ที่โปรดปราณแอปเปิ้ลหนักเข้าไปอีก ด้วยการสร้างสวนขึ้นมาปลูกไว้เสวยเอง นอกจากนี้ก็ยังมีผลไม้ชนิดอื่นๆ ด้วยเช่นกัน จากนั้นพระองค์ก็จ้างคนสวนชาวฝรั่งเศสเพื่อที่จะดูแลสวนผลไม้สุดโปรด ขณะเดียวกัน พระนางแคทเธอรีนก็โปรดปราณแอปเปิ้ลหลากหลายชนิดเลยทีเดียว พระองค์สั่งนำเข้าแอปเปิ้ลสุดโปรดมายังพระราชวังของพระองค์เองในรัสเซีย ซึ่งแต่ละผลนั้นจะต้องห่อด้วยกระดาษเงินหรูหรา สำหรับราชินีวิกตอเรียก็ชอบที่จะเสวยแอปเปิ้ลเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน 

ในปัจจุบัน 'เลน' คนสวนชาววิกตอเรียนยังคงเพาะปลูกแอปเปิ้ลอยู่ แล้วเกี่ยวอย่างไรกับเชื้อราชวงศ์? คำตอบคือเขาเป็นคนสวนของเจ้าชายอัลเบิร์ตไงล่ะ


5) แอปเปิ้ลนั่นมักจะเกี่ยวข้องกับอาณาจักรแห่งจินตนาการ

ว่ากันว่าถ้าคุณเผลอหลับไปใต้ต้นแอปเปิ้ลในสวนผลไม้ล่ะก็ คุณจะตื่นขึ้นมาในอีกหนึ่งปีให้หลัง โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีขุมสมบัติอยู่ใต้ต้นแอปเปิ้ล! แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ว่าเมื่อเราดูภาพยนตร์ฮอลีวูดมักจะเห็นแอปเปิ้ลโผล่เข้ามาในซีนต่างๆของภาพยนตร์แนวแฟนตาซีบ่อยๆ   เช่น การกัดแอปเปิ้ลกินไปคำหนึ่ง แล้วนำผลที่เหลือใส่ไว้ใต้หมอนเพื่อที่ว่าเมื่อเราหลับไปแล้ว ก็จะฝันถึงคู่แท้ของเรานั่นเอง
(มดขึ้นสิไม่ว่า...เนาะ...ฮา)



7) แอปเปิ้ลนั้นถูกนำมาขายแบบรถเข็นและตะกร้าตามท้องถนนมากขึ้นในเมืองใหญ่ๆ โดยเหล่า Costermongers หรือพ่อค้าเร่




'Costermongers' คำนี้ถือว่าเป็นคำที่ที่มีมานานเลยทีเดียว มีที่มาจากคำว่า Costard ซึ่งมีความหมายคือ แอปเปิ้ลประเภทต่างๆ ที่นำมาทำอาหารได้มากมายหลากเมนูลอร์ด Shaftesbury ผู้รณรงค์ในเรื่องสิทธิเด็ก ครั้งหนึ่งเคยปลอมตัวเป็น Costermonger ออกไปเร่ขายผักและผลไม้มากมาย เพื่อนำประวัติการขายของเขาไปใช้สมัครงานอีกด้วย


8) ในยุควิกตอเรียนผู้คนนิยมปลูกแอปเปิ้ลกันมากเลยล่ะแอปเปิ้ลได้รับความนิยมโดยพวกชาวสวนที่มีที่ดินผืนใหญ่ พวกเขาเพาะพันธุ์จนประสบความสำเร็จ แล้วก็ยังตั้งชื่อพันธุ์ของแอปเปิ้ลเหล่านั้นไว้อีกด้วย ยกตัวอย่างชื่อพันธุ์ที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบันได้แก่ Lady Henniker และ Lord Burleigh (แหม่ ชื่อก็ยังดูสูงส่ง)


9) ชาววิกตอเรียนศึกษาเกี่ยวกับแอปเปิ้ลด้วยนะ
ในปี 1854 สัทอักษรสากลแห่งบริทิช ได้ทำแบบทดสอบกับผลไม้หลากหลายประเภทที่เหมาะสมที่จะปลูกในบริทิชสำหรับชาวสวน ซึ่งเลขาขององค์กร คือ Robert Hogg ได้อ้างถึงวิจัยของเขาเกี่ยวกับผลไม้ในผลไม้บริทิช
วิทยา (British Pomology) ในปี 1851 ไว้ว่า ไม่มีผลไม้ชนิดไหนที่จะใกล้ชิดกับมนุษย์เท่าแอปเปิ้ลอีกแล้ว! 




เป็นอย่างไรบ้างคะ? คราวนี้มาแบบมีสาระกันเลยทีเดียว 
อย่างไรก็ขอขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ

ต้นฉบับ historyextra.com